Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

nookang serza

ostคนโขน-ฤา.mpg

การจัดการทรัพยากรณ์มนุษย์

การจัดการทรัพยากรมนุษย์ หรือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ คือ การใช้กลยุทธ์เชิงรุกที่มีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดในองค์กร นั่นคือบุคคลที่ทำงานทั้งกรณีที่ทำงานรวมกันและกรณีที่ทำงานคนเดียวเพื่อบรรลุเป้าหมายในการประกอบธุรกิจใดๆ [1] กลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรมนุษย์นั้นจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปตามเวลาและสถานการณ์ จึงต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ในธุรกิจหลากหลายประเภทและขนาดจึงมีแผนกหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการจัดการทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะ ซึ่งขนาดของแผนกหรือหน่วยงานนั้น จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจเองรวมถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ด้วยว่าสำคัญยิ่งยวดมากน้อยเพียงใด การจัดการทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นทั้งทฤษฎีในเชิงวิชาการและแบบปฏิบัติในธุรกิจที่ศึกษาวิธีการบริหารแรงงานทั้งในภาคทฤษฎีและปฏิบัติ
แนวคิด
ปัจจุบันการบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อองค์กรต่างๆ ทั้งในภาคธุรกิจเอกชน หรือแม้กระทั่งในหน่วยงานภาคราชการเอง เพราะไม่ว่าองค์กรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในทางใด ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับตัวบุคคลทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างยั่งยืนขององค์กรนั้นอยู่ที่ "คุณภาพของคน" ในองค์กรนั้นๆ
ก่อนที่องค์กรต่างๆ จะเริ่มเห็นความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์นั้น บุคคลเคยถูกมองเห็นว่าเป็นเพียงแค่ปัจจัยการผลิต หรือให้ความสำคัญเป็นแค่แรงงานหรือกำลังคน แต่ในปัจจุบัน บุคคลได้รับการนิยามใหม่พัฒนาความสำคัญเป็น "ทรัพยากรมนุษย์" ส่วนแผนกหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับบุคคลในองค์กรก็กำลังเปลี่ยนบทบาทจาก "งานบริหารบุคคลและธุรการ" ไปเป็น "การจัดการทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์" ซึ่งเปลี่ยนจากการจัดการเฉพาะหน้า ไปเป็นการใช้กลยุทธ์เข้ารุกอย่างเต็มตัวและต่อเนื่องไปในระยะยาว
ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ แพร่หลายอย่างมากใน สาขาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ภาคปฏิบัติ (HR Practice) อย่างไรก็ตามเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ย่อมมีฐานความคิดทางวิชาการเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง การจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จึงจำเป็นต้องเข้าใจหลักทางความคิดด้วย จากการทบทวนเอกสารทางวิชาที่เกี่ยวข้อง กับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในเบื้องต้น พบว่ามีการพัฒนาตัวแบบ เกี่ยวกับเรื่องนี้จากนักคิดนักวิจัยใน 2 กลุ่มประเทศสำคัญ คือ กลุ่มนักคิดในประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มนักคิดในสหราชอาณาจักร โดยสามารถจำแนกกลุ่มทางความคิดได้ดังนี้

[แก้] กลุ่มนักคิดในสหรัฐอเมริกา

สำหรับกลุ่มนี้มีตัวแบบการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญจาก 2 สำนักคิด คือ
  1. ตัวแบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์กลุ่มฮาร์วาร์ด (The Harvard model) หรือเรียกว่ากลุ่มแนวคิดแบบ "มนุษย์นิยมเชิงพัฒนาการ" (Developmental humanism) เป็นแนวคิดกระแสหลักที่ทรงอิทธิพลและแพร่หลายที่สุด มีรากฐานทางความคิดมาจากสำนักคิด "มนุษยสัมพันธ์" ซึ่งมีจุดเน้นทางความคิดอยู่ที่เรื่องของการสื่อสารในองค์การ การสร้างทีมเวิร์ก และการใช้ความสามารถของแต่ละบุคคล ให้เกิดอัตถประโยชน์สูงสุด กล่าวโดยสรุปสำหรับแนวคิดของสำนักนี้แล้ว การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์จะให้ความสำคัญกับเรื่องของการสร้างสัมพันธภาพของคนในองค์กร เพราะการที่จะทำให้องค์กรมีผลประกอบการที่ดีขึ้น องค์กรจะต้องสามารถตอบสนองความต้องการ ของบุคลากรในองค์กรให้เหมาะสม และเมื่อบุคลากรได้รับการตอบสนองที่ดี ก็จะเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทำให้องค์การเกิดภาวะอยู่ดีมีสุขทางสังคมขึ้นภายในองค์การ อันจะนำไปสู่คุณภาพและปริมาณงานที่ดีขึ้น
  2. ตัวแบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์สำนักมิชิแกน (The Michigan School) หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่าเป็นแนวคิดแบบ "บริหารจัดการนิยม" (Managerialism) กล่าวคือ เป็นกลุ่มที่เน้นเรื่องของ การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ ที่มองการจัดการทรัพยากรมนุษย์ จากมุมมองของฝ่ายจัดการ ธรรมชาติของฝ่ายจัดการคือ การให้ความสำคัญอันดับแรกที่ผลประโยชน์ตอบแทนที่องค์กรจะได้รับ โดยที่เรื่องของคน และการบริหารจัดการคนเป็นเครื่องมือ ในการที่จะทำให้บรรลุสู่เป้าหมายเช่นนั้นขององค์การ ดังนั้นจึงมีผู้เรียกแนวคิดการบริหารจัดการ ทรัพยากรมนุษย์ของสำนักคิดนี้ว่า เป็นพวก "อัตถประโยชน์-กลไกนิยม" (Utilitarian-instrumentalism) คือมองผลประโยชน์หรือผลประกอบการขององค์กรเป็นหลัก โดยมีการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนองค์กรให้ไปสู่ผลประกอบการที่เป็นเลิศ

[แก้] กลุ่มนักคิดในสหราชอาณาจักร

สำหรับแวดวงวิชาการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ของสหราชอาณาจักรก็คล้ายๆ กับสำนักคิดของสหรัฐอเมริกา คือ มีการนำเสนอแนวคิดของ 2 กลุ่มความคิดที่มีจุดย้ำเน้นที่แตกต่างกันระหว่าง "กลุ่มอ่อน" กับ "กลุ่มแข็ง" กล่าวคือ
  1. สำหรับกลุ่มที่มีมุมมองแบบอ่อน (soft) คือ กลุ่มนักคิดที่ทุ่มน้ำหนักความสำคัญไปที่ คนมากกว่าการบริหารจัดการ โดยเชื่อว่าบุคลากรทุกคนเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอยู่ในตนเอง ดังนั้นแนวทางของกลุ่มความคิดนี้ จึงมองการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ว่า จะเป็นวิธีการหนึ่งที่จะต้องช่วยปลดปล่อยพลังศักยภาพทั้งมวลของทรัพยากรมนุษย์ออกมา การจัดการทรัพยากรมนุษย์แนวนี้ จึงเน้นในเรื่องของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน การหาแนวทางที่จะสร้างความรู้สึกถึงการ มีพันธกิจผูกพัน (commitment) เกี่ยวข้อง (involvement) และการมีส่วนร่วม (participation) ให้เกิดขึ้นในหมู่มวลพนักงาน
  2. สำหรับกลุ่มที่มีมุมมองแบบแข็ง (hard) ก็คือ กลุ่มนักคิดที่ทุ่มน้ำหนักความสำคัญไปที่เรื่องของ การบริหารจัดการมากกว่าเรื่องของคน ดังนั้นแนวทางของกลุ่มความคิดนี้ จึงมองการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ว่า เป็นภาระงานด้านหนึ่งที่องค์กรจะสามารถเพิ่มพูนผลตอบแทนทางเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุดจากการใช้ทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุด แนวทางที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้การบริหารจัดการองค์การให้เกิดประสิทธิภาพก็คือ ต้องมีการบูรณาการ (integrate) เรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กร

[แก้] มิติของการจัดการทรัพยากรมนุษย์

การจัดการทรัพยากรมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม "อ่อน" ที่ใช้ปรัชญาแบบ "มนุษย์นิยมเชิงพัฒนา" หรือกลุ่ม "แข็ง" ที่มีปรัชญาแบบ "บริหารจัดการนิยม" มีผู้สรุปแนวโน้มของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ไว้ แม้ในทางความคิดจะเป็นแนวคิดที่ต่างกลุ่มต่างสำนัก แต่ในที่สุดแล้วในทางปฏิบัติทั้ง 2 แนวคิดนี้จะต้องถูกบริหารจัดการหรือบูรณาการเข้าด้วยกัน โดยมี 4 มิติมุมมองที่จะช่วยยึดโยงกับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์มากยิ่งขึ้น ได้แก่
  1. การกำหนดนโยบายด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรจะต้องบูรณาการอย่างเป็นระบบมากขึ้น ทั้งในแง่ของการบูรณาการกันเองของงานย่อยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายในองค์กร และการบูรณาการนโยบายด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลเข้ากับแผนนโยบายและยุทธศาสตร์ขององค์กร
  2. ความรับผิดชอบในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การจะไม่ได้อยู่กับผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลอีกต่อไป แต่จะถูกกำหนดให้ เป็นเรื่องที่ผู้บริหารสายงานด้านต่างๆ จะต้องรับผิดชอบ
  3. เรื่องของแรงงานสัมพันธ์ ที่เคยเป็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้บริหารกับสหภาพแรงงาน จะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องพนักงานสัมพันธ์ ทำให้แนวคิดการบริหารจัดการคนในองค์การเปลี่ยนจากแบบ "กลุ่มนิยม" (collectivism) ไปเป็น "ปัจเจกนิยม" (individualism)
  4. แนวคิดเรื่องของการสร้างความมีพันธกิจผูกพัน การทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร การคิดสร้างสรรค์และเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม ทำให้ผู้บริหารจะต้องปรับเปลี่ยนไปสู่บทบาทผู้นำในรูปแบบใหม่ๆ เช่น เป็นผู้เอื้ออำนวย เพิ่มบทบาทอำนาจ และ สร้างขีดความสามารถให้กับบุคลากร

[แก้] ความสำคัญ

ในแง่จุดประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์นั้นมีประเด็นที่น่าสนใจว่า การที่จะเข้าใจในจุดประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้ จะต้องเข้าใจถึงเป้าประสงค์ขององค์กรเสียก่อน หากกล่าวในเชิงปรัชญาก็อาจกล่าวได้ว่าการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งที่ "สัมบูรณ์" (absolute) ในตัวมันเอง แต่ทว่าเป็นสิ่งที่จะต้อง "สัมพัทธ์" (relative) ไปกับปัจจัยควบคุมนั่นคือ นโยบายการบริหารจัดการองค์กร กล่าวง่ายๆ ก็คือ เป้าประสงค์ขององค์กรจะเป็นตัวกำหนดเป้าประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์
ในทางธุรกิจองค์กรเอกชนแบบจารีตดั้งเดิมมักจะมีเป้าหมายใหญ่ๆ สำคัญ 2 ประการ คือ
  • ประการที่ 1: เป้าหมายของการที่จะต้องสร้างความมั่นใจว่าองค์กรจะอยู่รอดได้พร้อมไปกับความสามารถที่จะมีกำไรในการประกอบธุรกิจได้อย่างเพียงพอ ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงบรรดาผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจที่จะรักษาความเป็นหุ้นส่วนไว้หรือไม่
  • ประการที่ 2: องค์กรเอกชนอาจจะต้องแสวงหารูปแบบของการมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน เพื่อที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดและมีกำไรที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในโลกยุคสมัยใหม่ที่มนุษย์ และสังคมได้ผ่านวิวัฒนาการและการพัฒนาทางความคิดและวิถีการดำรงชีวิตมาถึงจุดหนึ่ง ทำให้ยังมีสิ่งที่องค์กรพึงต้องพิจารณาให้ความสำคัญเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเศรษฐกิจสังคมยุคปัจจุบัน ที่เกิดพลวัตผลักดันสังคมให้ก้าวสู่การเป็นระบบเศรษฐกิจสังคมบนฐานความรู้
  • ประการที่ 3: การประกอบธุรกิจนั้นมิใช่จะมุ่งมองแต่เรื่องผลกำไร และความอยู่รอดทางธุรกิจ ตามแนวคิดแบบจารีตดั้งเดิมได้อีกต่อไป สำหรับกระแสนิยมในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องให้เกิดแนวคิดที่ว่า การดำรงอยู่ขององค์กรก็จะต้องให้ความใส่ใจกับผลกระทบที่ตนเองจะก่อให้เกิดขึ้นกับสังคมโดยรวมด้วย ดังนั้นองค์กรธุรกิจเอกชนจะต้องมีเป้าหมายเรื่องความชอบธรรมทางสังคมขององค์กรด้วย
เมื่อองค์กรธุรกิจเอกชนมีเป้าประสงค์ 3 ประการข้างต้น ได้แก่ การอยู่รอดด้วยผลกำไรที่เพียงพอ การมีขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน และการมีความชอบธรรมทางสังคม เป้าประสงค์เหล่านี้ย่อมส่งผลต่อเป้าประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งอาจจะสามารถแปลงเป้าประสงค์ใหญ่ระดับองค์กรมาสู่เป้าประสงค์ย่อยในระดับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะสามารถช่วยให้เราเห็นภาพเป้าประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้ดังนี้
  1. ในแง่ของการที่จะต้องสร้างความมั่นใจว่าองค์กรจะสามารถอยู่รอดได้พร้อมไปกับความสามารถที่จะมีกำไรในการประกอบธุรกิจได้อย่างเพียงพอนั้น การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์จะต้องกำหนดเป้าประสงค์ในแง่ของการสร้างผลิตภาพด้านแรงงานให้เกิดขึ้นภายในองค์กร นั่นย่อมหมายถึงการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์จะต้องทำให้องค์กรเกิดความคุ้มค่าในการลงทุนที่เกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลในองค์กร
  2. ในแง่ของการที่องค์กรประสงค์ที่จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ก็คงจะต้องกำหนดเป้าประสงค์ในแง่ของการที่จะทำให้องค์กรพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการทำให้องค์กรมีความยืดหยุ่นพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันอย่างยั่งยืนจึงเป็นเป้าประสงค์ที่สำคัญอีกประการของงานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์
  3. ในแง่ของการที่องค์กรประสงค์ที่จะมีความชอบธรรมทางสังคม ก็ถือเป็นภาระหน้าที่สำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่จะต้องมีเป้าหมายที่มุ่งเน้นการสร้างความรู้สึกให้องค์กรให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรับผิดชอบต่อบุคลากรภายในองค์กร และผลกระทบจากการบริหารทรัพยากรบุคคลของบริษัท ที่จะไปมีผลต่อสังคมภายนอก ซึ่งต่อมาได้ขยายนิยามความรับผิดชอบ ออกไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ลูกค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่างๆ[2]

   อ้างอิง

  1. ^ Armstrong, Michael (2006). A Handbook of Human Resource Management Practice (10th edition ed.). London: Kogan Page. ISBN 0-7494-4631-5. OCLC 62282248. 
  2. ^ สมบัติ กุสุมาวลี, บริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ไปเพื่ออะไร ?, โครงการบัณฑิตศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 16 ธันวาคม 2547 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3645, หน้า 6


รับบ้อง การจัดการ ส .1

ยัยลูกมู๋ 555+ แฝดๆๆ

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน



เพื่อนไม่ทิ้งกันArtitst : Clash เราเคยเกลียดกัน เมื่อตอนเราเป็นนักเรียน และยังเคยมีเรื่องกันไว้เราเคยโกรธกัน เมื่อเจอกันในชั้นเรียน ไม่เคยยอมฟังผู้ใดไม่เคยยอมให้กัน ชอบทะเลาะ มีเรื่องกันทุกทีจะเป็นไงก็ช่างมัน แต่จะให้ยอมแพ้เป็นไม่มี พอเราเติบโต กลับเปลี่ยนแปลงความคิดเดิม และเราลืมที่ทำกันไว้ทำความเข้าใจ ไม่ให้ใครมาซ้ำเติม จูงมือพากันก้าวไปหนัใจเราช่วยกัน หากปัญหามีอยู่เราไม่กลัวหากว่าเราจะช่วยกัน ไม่มีวันความหวังจะมืดมัว* เพื่อนไม่เคย ไม่เคยทิ้งกัน ไม่ว่าความฝัน นั้นจะไกลสักเท่าไรถ้าหกล้มซมซานเมื่อใด เพื่อนจะปลอบใจ ไม่มีคนที่จะรู้ใจไม่มีใครรักและตามใจเหมือนเพื่อนเก่าจะทำไงตามใจแต่เรา...เพื่อนเรารักจริง จะมีกี่คน ที่จะเคยมีเพื่อนดี และให้เราทำตามความฝันจะมีกี่คน ที่เต็มใจจะร่วมทาง และเข้าใจในความสำคัญยิ่งทียิ่งผูกพัน เพื่อนเท่านั้นจะอยู่กันเรื่อยไปเพื่อนเป็นไงก็เป็นกัน กอดคอกันเอาไว้จนวันตาย( * )จะทำไงตามใจแต่เรา...เพื่อนเราเข้าใจ

เทพช่างเล่นปทุมคงคา




นักเรียน  นักเลง

เหล้า เพื่อ สุขภาพ อิอิ



นักดื่มคอเหล็กคอทอแดงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดูอาจเคยถามตัวเองบ่อยๆว่าเมื่อคืนดื่ม หนักไปหรือเปล่า เชื่อว่ามีหลายคนตั้งใจว่าต่อไปจะดื่มให้น้อยลง แต่ก็เชื่อเถอะว่าพอถึงเวลามีงานปาร์ตี้สังสรรค์  ทีไร เอาเข้าจริงๆ คุณก็ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ตั้งใจไว้ 2 แก้ว ก็เผลอเป็น 2 กลมทุกที ไม่ต้องเสียใจไปกับความผิดพลาดในอดีตแต่เราลองมาให้ความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคตดีกว่า ด้วยเทคนิคการดื่มเพื่อสุขภาพ

ข่าวการวิจัยของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบันยืนยันว่าคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำมี สุข ภาพแข็งแรงสมบูรณ์ และมีโอกาสอยู่ในโลกได้ยาวนานกว่าคนที่ไม่ดื่มเหล้าด้วยซ้ำสิ่งนี้อาจ
พอจะทำให้นักดื่มยิ้มออกกันได้บ้าง แต่คำถามที่ตามมาคือ ดื่มแค่ไหนได้สุขภาพ ดื่มแค่ไหนเสียสุขภาพ  


คนดื่มเหล้าเป็นประจำประมาณ 1-2 แก้ว มีอัตราเสี่ยงตายจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างโรคหัวใจ,เส้นเลือดอุดตันน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มเหล้าถึง 20-40 เปอร์เซ็นต์     1 แก้วในที่นี้ หมายถึง เบียร์ขนาด 12 ออนซ์ ไวน์ 4-6 ออนซ์ส่วนอย่างอื่นที่แรงกว่าก็ประมาณ 1.5 ออนซ์ แต่อย่าลืมว่า ไลท์เบียร์จะเบากว่าเบียร์ทั่วไปนิดหน่อย ส่วนเบียร์อิมพอร์ตบางยี่ห้อ ก็อาจจะหนักกว่าเล็กน้อย คนที่นิยมดื่มประเภทมิกซ์ อย่าง ไฮบอลล์, มาร์ตินี่ ก็อาจจะดื่มได้มากเป็น 2-3 เท่า       
ดื่ม 2 แก้วต่อวัน ไม่เมา   ปริมาณการดื่มให้พอดีมักจะคิดคำนวณจากน้ำหนักตัวเป็นหลัก โดยทั่วๆไป ร่างกายจะเจือจางแอลกอฮอล์แก้วหนึ่งก็ประมาณ 1 ชั่วโมง คนที่หนัก 180 ปอนด์ที่ดื่มเหล้าไป 2 แก้วใน 2 ชั่วโมง จะมีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดประมาณ 0.016 ฤทธิ์แอลกอฮอล์แค่นี้ยังไม่แรงพอที่จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของคุณเปลี่ยนแปลง เรียกง่ายๆ ว่าอาการยังไม่ออก
สตาร์ทก่อนเมาด้วยอาหาร น้ำ ถ้าดื่มชั่วโมงละ   2 แก้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะเพิ่มเป็น 0.03ดีกรีสูงขึ้นมาอีกหน่อย ร่างกายของคุณก็จะเริ่มสตาร์ทเครื่องแค่อุ่นๆ รีแล็กซ์และเป็นกันเองมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งร่าเริงหยิบแก้วต่อไป เพราะถ้าปริมาณแอลกอฮอล์ถึง 0.03 เมื่อไหร่ คุณจะตกที่นั่งลำบากเวลา
ขับรถกลับบ้าน เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย ควรทานอาหารหรือน้ำสักแก้วเพื่อเป็นการสตาร์ทเครื่อง
             จากการศึกษาวิจัยผู้ชายวัย 40 ขึ้นไป พบว่าคนที่กินเหล้าวันละ 2-4 แก้ว ยังไงก็มีสิทธิเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่ไม่กิน นั่นเป็นเพราะการดื่มเหล้าเป็นประจำ ำให้ร่างกายใช้อินซูลิน (ฮอร์โมนที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด) ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดนี่เอง ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน แต่ขณะเดียวกัน มันก็คงยังมีโทษเป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่ดี ถ้าคุณยังยืนยันเจตนารมณ์เดิม กิน 2-3 แก้วเป็นประจำ ผลร้ายก็ตกอยู่ที่กระดูก เพราะแอลกอฮอล์นั้นเป็นตัวทำลายเซลล์สร้างกระดูก ถ้าลดปริมาณการดื่มลงเหลือ 1-2 แก้วต่อวัน ก็จะลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ได้เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมะเร็งที่กระเพาะอาหารด้วย
            
การดื่มเหล้าชั่วโมงละ 3-4 แก้วจะเริ่มมึนหัว ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะเพิ่มเป็น 0.056 ถึงตอนนี้คุณจะมีอาการมึนหัวเล็กน้อย มือใหม่สมัครเล่นบางคนถึงกับมีปัญหาเรื่องการทรงตัวและเรื่องสายตาเลยทีเดียว และถ้าดื่มเหล้า 4 แก้วภายใน  2 ชั่วโมง ค่าแอลกอฮอล์ในเลือดจะเพิ่มเป็น 0.064 ฤทธิ์
ิ์แอลกอฮอล์ระดับนี้แรงพอที่จะทำร้ายสมองบางส่วน และสร้างปัญหาให้คุณมาก โดยเฉพาะเรื่องของการตัดสินใจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาขับรถ            
            
ดื่มวันละ 4 แก้ว เริ่มอันตราย   ถ้ากินเหล้าวันละ 4 แก้ว แสดงว่าคุณดื่มหนักเกินไป ที่สำคัญมันไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย ผู้ชาย 4 ใน 10 คนที่กินเหล้าวันละ 4 แก้วหรือมากกว่า จะต้องทนทุกข์ทรมานกับเจ้าโรคตับอักเสบ เพราะว่าแอลกอฮอล์เป็นตัวทำลายเซลล์ในตับ ถ้าคุณดื่มติดต่อกันนาน 15-20 ปี รับรองจะเป็นโรคตับแข็ง โรคหัวใจ บางรายก็ถึงขั้นมะเร็งในปอด อีกโรคฮิตติดอันดับอันเนื่องมาจากแอลกอฮอล์ก็คือโรคความดันโลหิตสูง การดื่มเหล้ามากกว่า 3 แก้วต่อวัน อาจทำให้ฮอร์โมนซึ่งเป็นสาเหตุ ทำให้เส้นเลือดตีบตันได้ง่าย ระดับความดันของเลือดสูงเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย  ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบถึงสมองตรงส่วนซีรีเบลลัม อันเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมความรู้สึก การเคลื่อนไหว ความคิด และเหตุผลต่างๆ คนที่กินเหล้าน้อยกว่า 3 แก้วต่อวัน จะมีเซลล์ ส่วนนี้มากกว่าคนที่กิน 3-6 แก้วทุกวัน
ดื่มมากกว่าวันละ 6 แก้วภายใน 4 ชั่วโมง หัวหมุน ขาดสติ สำหรับคนที่หนัก 180 ปอนด์ ปริมาณแอลกอฮอล์จะสูงถึง 0.08 ถึงขั้นนี้แล้ว คุณก็อย่าหวังเลยว่าระบบการทำงานของร่างกายจะเป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับรู้ การตัดสินใจ และความทรงจำต่างๆ ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อจะช้าลง เลือดหมุนเวียนไม่ทั่ว คุณจะรู้สึกหน้าชามากขึ้น แถมยังทำให้โลกทั้งโลกแกว่งไปมาจนคุณรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้
ที่มา : .247freemag

Boom Boom Pow Dance by Black Queen 블랙퀸


เพื่อนกันตลอดไป



เพื่อนช่วยเพื่อนตลอดไปได้เสมอ 
เพื่อนจะเผลอเพื่อนจะพลาดซักแค่ไหน 
ความเป็นมิตรยังติดอยู่คู่แรงใจ           
ให้ก้าวไปในสิ่งที่ต้องการ 
เพื่อนจะทุกข์เสียน้ำตาและร้องไห้ 
ความห่วงใยที่มีนั้นยังคอยสาน 
ประกอบใจของเพื่อนนี้ที่ร้าวราน 
พาพ้นผ่านความทุกข์ช้ำที่ค้ำใจ 
แม้เวลาเนิ่นนานผ่านจากนี้ 
แต่สิ่งดีจะยังอยู่ไม่หวั่นไหว 
ถึงเวลาจะผ่านนานเท่าไร 
แต่จิตใจมีเพื่อนตลอดมา 
จะไม่ลืมเพื่อนคนนี้ชั่วชีวิต 
อยู่เป็นมิตรคอยดูแลและรักษา 
ให้ความรักคงอยู่ตลอดเวลา 
มิตรภาพจะล้ำค่าตลอดไป


ขอขอบคุณ กลอนรัก จาก : http://planet.kapook.com/ammabow
โดยคุณ ammabow

ผลไม้เพื่อสุขภาพ



กินกล้วยต้านโรค (Lisa)

           กล้วย มีกำเนิดอยู่ทางเอเชียตะวันออกเฉียงได้หลายพันปี หลายปีมาแล้ว เชื่อกันว่ากล้วยเป็นผลไม้ชนิดแรกที่คนปลูก เพื่อเป็นอาหาร ประเทศไทยเราชื่อแน่ว่าปลูกกล้วยกินมานานมากแล้ว จดหมายในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 300 กว่าปีมาแล้วก็กล่าวถึงเรื่องของกล้วย และยังมีผู้สำรวจและกล่าวว่ากล้วยหลาย 10 พันธุ์มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย แต่คนไทยกลับนิยมกินกล้วยกินน้อยมาก บางคนดูถูกด้วยซ้ำว่าเป็นผลไม้ของคนยาก เนื่องจากราคาถูก จึงถูกจัดให้เป็นผลไม้เกรดต่ำ นำมาขึ้นโต๊ะรับแขกไม่ได้ แขกจะถูกแย่ว่าเลี้ยงกล้วย ต้องไปหาผลไม้แพงๆ ซึ่งความจริงผลไม้ไทยๆ อย่างกล้วยนี้ สุดยอดวิตามินเชียวล่ะ

กินกล้วย-ต้านโรค

           ฟังดูชื่อเรื่อง บางคนอาจจะคิดว่า เกินเลยความจริงไปมั้ง

           จริง ๆ แล้ว ไม่เกินเลยความจริงเลย กล้วยผลไม้ไทย ๆ ของเรานี่แหละใช้เป็นยาป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค และยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารครบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ คือมีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย ทางการแพทย์จึงได้เลือกให้กล้วยน้ำว้าสุกเป็นอาหารเสริมในวัยทารก

           น้ำตาลที่เกิดขึ้นจากขบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้ง ขณะที่กล้วยสุกก็มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เมื่อกล้วยตกไปถึงลำไส้จะทำให้ลำไส้มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้แคลเซียมถูกดูดซึมง่ายและสมบูรณ์ขึ้น จึงนับว่าน้ำตาลในกล้วยมีคุณค่ากว่าน้ำตาลที่ได้จากธัญพืชอื่น ๆ
           สารอาหารโปรตีนที่มีอยู่ในกล้วยน้ำว้า เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับเราอยู่หลายชนิด  โดยเฉพาะมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า อาร์จินิน และ ฮีสติดีน ซึ่งกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก

           นอกจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตแล้ว ในกล้วยแต่ละชนิดยังมีไขมันแม้จะอยู่ในปริมาณที่น้อยก็ตาม

           กล้วยแต่ละชนิดจะให้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ในปริมาณที่แตกต่างกัน จะเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนจากตาราง โดยเปรียบเทียบจากเนื้อกล้วยในปริมาณ 100 กรัม เท่าๆ กัน

           ส่วนวิตามินนั้น มองดูผิวเผิน กล้วยแต่ละชนิดสีขาวๆ ทั้งนั้นไม่น่าจะให้วิตามินเอเลย แต่ในกล้วยก็มีวิตามินเออยู่ด้วย แม้จะไม่มากเท่าวิตามินเอที่ได้จากมะละกอหรือมะม่วงสุก แต่ก็มีวิตามินเอมากกว่าผลไม้อีกหลาย ๆ ชนิด เช่น ชมพู่ ส้มโอ น้อยหน่า เป็นต้น ในบรรดากล้วยทุกชนิดนั้น กล้วยน้ำว้าจะมีวิตามินเอมากกว่าเพื่อน สำหรับวิตามินตัวอื่น กล้วยก็มีอยู่ครบทุกชนิดเช่นกัน ทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอะซิน

เกลือแร่สำคัญ ๆ ที่มีอยู่ในกล้วยก็คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก
           เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้อื่น ๆ แล้ว กล้วยนับเป็นผลไม้ที่มีเกลือแร่อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัส หรือเหล็กก็ตาม กล้วยทุกชนิดมีแร่ธาตุมากกว่าผลไม้ชนิดต่าง ๆ ดังนี้
          มีธาตุเหล็กมากกว่าแตงโม พุทรา ระกำ ลำไย ลิ้นจี่ แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ
          มีแคลเซียมมากกว่าชมพู่ มะเฟือง มะไฟ มะยม มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย ฯลฯ
          มีฟอสฟอรัสมากกว่าลูกเงาะ ชมพู่ แตงไทย แตงโม มะเฟือง มะม่วง มังคุด ระกำ ละมุด แอปเปิ้ล แคนตาลูป ฯลฯ


กล้วย


ปริมาณสารอาหารที่ได้รับจากเนื้อกล้วย 100 กรัม



หมายเหตุ

จากตารางแสดงคุณค่าอาหารไทย ของกองโภชนาการ กรมอนามัย กรมอนามัย กรกฎาคม 2530



จากตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยของกองโภชนาการ กรมอนามัย กรกฎาคม 2530
ปริมาณวิตามินในเนื้อกล้วย 100 กรัม


เทคนิคเรียนดี



1. อ่านหนังสือตอนเช้าๆ จะช่วยในการจดจำได้เยอะจร้า เพราะว่าตอนเช้าสมองของเราปลอดโปร่ง ถ้าเทียบกับตอนเย็น หรือตอนดึกๆ เนื่องจากสมองของเราผ่านอะไรมามากมายแล้ว สู้รบปรบมือกันมาทั้งวัน
2. รู้มั้ยว่า การยืนอ่านหนังสือ ช่วยในการจดจำมากกว่า การนั่งอ่านหนังสืออีกนะจะบอกให้แล้วอีกอย่างช่วยกันการหลับคาหนังสืออีกด้วย3. การจดโน๊ต ให้ดูสะอาดตาสวยงาม จะเป็นสิ่งดีมากๆ เนื่องจากลายมือที่สวยและเป็นระเบียบ จะช่วยในการจดจำได้เป็นอย่างดีเลยหล่ะ ถ้าบอกแบบนี้ เราควรใช้กระดาษสีขาว และปากกาหมึกสีดำ ช่วยให้อักษรมีความชัดเจน และมีพลังเยี่ยมยอดเมื่อบวกกับสีขาวในกระดาษที่เป็นช่องว่างอยู่ การเรียบเรียงตัวอักษร เราควรที่จะจดแบบให้มีการเคลื่อนไหว แทนที่จะจดแบบแนวนอน เรียงยาวแบบธรรมดาๆ ก็คือการจดแบบเป็นกลอน แทนที่จะจดให้มันเป็นพรืดยาว จนเอียน การจดแบบนี้ ทำให้เมื่อยสายตา เพราะเราต้องใช้สายตากวาดทอดยาวไป ทำให้เมื่อยล้าสายตาอย่างยิ่ง ทำให้เลิกอ่านกันไปดื้อๆแต่การที่เราจดแบบกลอน มันช่วยให้สายตาของเราไม่ล้า ทำให้เราอ่านหนังสือได้มากขึ้น และจำได้รวดเร็วกว่าเดิม ไม่ต้องมาอ่านซ้ำหลายๆ รอบเหมือนแต่ก่อน
4. การจดอีกแบบนึง ก็คือ การจดแบบ mind mapping การจดแบบนี้ หลายๆ คนคงจะคุ้นเคยกันดี คือ การ มีคีย์เวิร์ดชื่อเรื่องไว้ตรงกลาง แล้วแตกสาขากิ่งก้านหัวข้อย่อยๆ ออกมา ขอย้ำนิดนึงว่า ควรจะใช้คำสั้นๆ ที่สำคัญๆ เพื่อง่ายต่อการจดจำ และไม่น่าเบื่อ

5. การเรียนแบบจับคู่ ควรที่จะมีคู่หู 1 คนในการเรียนเพื่อแชร์ความรู้ที่แต่ละคนได้มา และโต้เถียงความรู้กันอยู่บ่อยๆ ซึ่งวิธีนี้ก็ได้ผลดีเช่นกัน ทำให้การเรียนมีสีสัน และเกิดความตื่นตัวอีกด้วย

6. การอ่านหนังสือเสียงดัง หรือโยกตัว โยกขา การอ่านแบบมีจังหวะจะโคน ช่วยในการจดจำด้วย เพราะว่าเราได้ใช้ประสาทสัมผัสส่วนต่างๆ

7. อ่าน 1 ชั่วโมงที่รู้สึกว่าตั้งใจ มีความสุข หรือมีพลังในการอ่าน การเรียนรู้ ดีกว่าอ่าน 5 ชั่วโมงที่อ่อนล้าซะอีก แทนที่จะความรู้ แต่กลับไม่ได้อะไรเลย

8. เวลาที่คนเรามีความสุข คลื่นสมองของเราจะเรียนรู้ได้เร็ว และดีกว่าตอนที่เครียด


9. ควรที่จะหมั่นทบทวนในสิ่งต่างๆ บ่อยๆ เพราะการย้ำคิดย้ำทำ หรือการทำซ้ำนั้น ช่วยเราได้มากเลย

ข้อมูลจาก : www.thaigoodview.com

แผนกการจัดการ

ปรัชญาการจัดการเยี่ยม เปี่ยมคุณธรรม นำบุคลิกภาพ สร้างทีมเป็น

วิสัยทัศน์
มุ่งมั่นผลิตผู้เรียนให้มีความรู้ ความชำนาญ ด้านการใช้เครื่องใช้สำนักงาน มีภาวะผู้นำ ใฝ่สามัคคี มีคุณธรรมนำชีวิต รู้จักสร้างทีมงาน
 
พันธกิจ
                                                1. สร้างนักจัดการที่ดีสู่ตลาดงาน
                                                2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้ด้านทฤษฎี และปฏิบัติได้จริง
                                               
 3. ปลูกฝังจิตสำนึกให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม รักความสามัคคี
                                                4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเป็นผู้นำด้านความรู้ และบุคลิกภาพ





 สีประจำแผนก
 - สีเขียว
 


 

 









โครงการเชิญวิทยากรภายนอก
อบรมเรื่อง
ภาวะผู้นำและบุคลิกภพของนักจัดการที่ดี
โดย ผศ.ดร.นำชัย  เลวัลย์
วันที่ 29 มกราคม  2554 











 
การศึกษาดูงานที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนงาน Airport   Rail Link
สถานีมักกะสัน- สุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554

















ผู้สำเร็จการจัดการทั่วไปรุ่นที่ 2
รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2554














แผนกการจัดการและสำนักงานและแผนพัฒนาผู้เรียนในอนาคต
          สาขาการจัดการทั่วไป
ระดับ
อัตลักษณ์
สมรรถนะ
 
ปวส.1
>ผลิตเอกสารด้วยเครื่องใช้สำนักงานได้หลายชนิด
>จัดสำนักงานเป็น
>สามารถจัดทำสื่อประกอบการเรียน สื่อแนะนำแผนก   และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดี สามารถนำสื่อที่ผลิตเผยแพร่ สู่ชุมชนได้
>สามารถนำความรู้ ความเข้าใจในหลักการและทฤษฎีจัดสำนักงานได้อย่างเหมาะสม
 
ปวส.2
>มีบุคลิกลักษณะเป็นผู้นำ
>จัดทำโครงการเป็น
>สร้างแบบประเมินผลการปฏิบัติงาน
>สามารถเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานตามสาขาได้จริงและเป็นผู้นำเชิงคุณธรรม จริยธรรมเพื่อปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
>สามารถจัดทำโครงการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสาขาวิชาและเผยแพร่สู่ชุมชนได้จริง
>สามารถนำความรู้ ความเข้าใจมาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง
>แบบการประเมินผลการปฏิบัติงานนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน

ของขวัญ - Musketeers.wmv




มีเธอที่รักกันในจิตใจ ให้ฉันก้าวเดินต่อไปต่อจากนี้ ^^

*******คำคม กวนๆ คำเตือน..อ่านเพื่อคลายเครียดเท่านั้น ********

จุดยืนของเราคือ ส้นตีน
บางสิ่งที่เราไม่ควรจำ ถ้ามันทำให้ใจเจ็บ   แต่บางสิ่งที่ควรจะเก็บ  ที่มันเป็นความเจ็บ  ที่น่าจำ

คบคลพาลถ้าจริงใจก็ไม่ผิด  คบบัณฑิตไม่จริงใจก็ไร้ผล

อย่ามีหัวไว้ให้แค่ผมขึ้น

ความดีก็เหมือนกางเกงใน  มีติดตัวไว้ แต่ไม่ต้องเอามาโชว์

สามีคือเป้าหมาย ผู้ชายคือทางผ่าน

เพื่อนกิน เพื่อนกัน    เพื่อนกินไม่ทัน เพื่อนกันเอาไปกิน

ชะตาฟ้าลิขิต แต่ชีวิตน่ะของกู

กาเมมรนัง  ทุกขัง โลเก       ...กามตายด้านเป็นทุกข์ในโลก

มาสาย กลับก่อน นอนกลางวัน มันกลางคืน

ทำดีย่อมได้ดี ทำอัปปรีย์มันจะได้ดีได้ยังไง

เจ็บแล้วจำคือ คน   เจ็บแล้วทนคือ ควายยย

พอใจเท่าที่มี ยินดีเท่าที่ได้

สิ่งที่สอนคนเราไม่ได้คือ สามัญสำนึก

จงซื่อสัตย์กับแฟนตนเอง  แล้วครื้นเครงกับแฟนคนอื่น

สุขใดก็ไม่เท่า ล้วงกระเป๋าแล้วเจอตังค์

สุราไม่ได้สร้างวีรบุรุษ  แต่วีรบุตรมักขาดสุราไม่ได้

ทำคืนนี้ให้ดีที่สุด  และอย่าหยุดถ้าไม่ถึง  จุดสุดยอด

เรียนดีแม่รัก   เรียนรักแม่ตบเรียนไม่จบสลบคาตีน

ชีวิต ไม่ใช่โซดาร์ จะได้ซาร์จนหยดสุดท้าย